ทองหยิบ (โปรตุเกส: trouxas das Caldas, โตรชัชดัชกัลดัช) เป็นขนมโปรตุเกสที่เผยแพร่ในประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยท้าวทองกีบม้า จนเป็นที่แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน ทำจากไข่แดงตีจนฟู ก่อนนำไปหยอดลงในน้ำเชื่อมเดือดเพื่อทำให้สุก เมื่อสุกแล้วจึงนำมาจับจีบ ใส่ถ้วยตะไล
ปัจจุบัน มักใช้เป็นของหวานในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส งานขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ
ทองหยอด (โปรตุเกส: ovos moles de Aveiro, โอวุชมอลึชดืออาไวรู) เป็นขนมโปรตุเกส มีถิ่นกำเนิดจากเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส ทำจากแป้งผสมกับไข่แดงและน้ำ หยอดลงในน้ำเดือดเคี่ยวกับน้ำตาล เมื่อแป้งสุกจะเป็นเม็ดคล้ายหยดน้ำ มีสีเหลืองทอง
ทองหยอดเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยท้าวทองกีบม้า ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ฝอยทอง (โปรตุเกส: fios de ovos, ฟีอุชดือโอวุช, "เส้นด้ายที่ทำจากไข่")[1] เป็นขนมโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก[2] โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส
ฝอยทองเป็นที่รู้จักในประเทศสเปนว่า อูเอโบอิลาโด (สเปน: huevo hilado "ไข่ที่ปั่นเป็นเส้นด้าย"), ญี่ปุ่นว่า เครังโซเม็ง (ญี่ปุ่น: 鶏卵素麺 ? "เส้นไข่ไก่")[3], กัมพูชาว่า วาวี[4]และมาเลเซียว่า จาลามัซ (มาเลย์: jala mas "ตาข่ายทอง")[5]
ฝอยทองแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265) ลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ภริยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้น เป็นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น
ทั้งนี้ฝอยทอง ปรากฏอยู่ใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวาน บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่พระราชนิพนธ์ชมเชยฝีพระหัตถ์ในการแต่งเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ความว่า[6]
| ฝอยทอง เป็นยองใย | เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน | |
| คิดความยามเยาวมาลย์ | เย็บชุนใช้ไหมทองจีนฯ |
ขนมชั้น เป็นขนมไทยโบราณที่ใช้ในงานพิธีมงคล โดยมีความเชื่อว่าจะต้องหยอดขนมให้ได้ 9 ชั้น จึงจะเป็นศิริมงคลเจริญก้าวหน้าแก่เจ้าภาพ
ส่วนผสมของขนมส่วนใหญ่จะเป็นกะทิ และน้ำตาล แป้ง 3 - 4 ชนิด แล้วแต่สูตรและความชอบเนื้อขนมในแต่ละแบบ ซึ่งแป้งแต่ละอย่างก็จะมีคุณสมบัติทำให้ขนมมีเนื้อต่างกัน โดย
ทองเอก คือขนมไทยที่มีส่วนผสมของแป้งสาลี น้ำตาล ไข่แดง และกะทิ กวนจนข้น แล้วนำใส่แม่พิมพ์ให้ได้รูปตามที่ต้องการ จากนั้นจึงแคะออกจากแม่พิมพ์ แล้วนำมาอบด้วยเทียนอบ
ในสมัยโบราณนั้นได้มีการนำทองคำเปลวมาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มาประดับไว้ด้านบนของขนมทองเอก โดยใช้วิธีการวางแผ่นทองคำเปลววางไว้บนแม่พิมพ์ก่อนเทขนมทองเอกลงในแม่พิมพ์ แต่ปัจจุบันไม่มีการนำทองคำเปลวมาตกแต่งขนมทองเอก เนื่องจากทองคำเปลวเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้รับประทาน
ทองเอกเป็นขนมในตระกูลทองซึ่งได้แก่ ทองเอก ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง ขนมในตระกูลนี้จะต้องใช้ความพิถีพิถันในการทำ เพราะเป็นขนมที่มีลักษณะสง่างามและโดดเด่นกว่าขนมชนิดอื่น นอกจากนี้ทองเอกยังเป็นหนึ่งในขนมมงคล 9 ชนิดซึ่งได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น เม็ดขนุน ถ้วยฟู จ่ามงกุฎ ทองเอก และเสน่ห์จันทร์ ขนมมงคลนั้นจะใช้ในการนำไปประกอบเครื่องคาวหวานเพื่อถวายพระในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานบวชงานมงคลสมรส หรืองานขึ้นบ้านใหม่ โดยเชื่อกันว่างานมงคลเหล่านี้จะต้องใช้เฉพาะขนมไทยที่มีชื่อไพเราะและเป็นสิริมงคล ซึ่งคำว่า เอก ในชื่อขนมทองเอกนั้นหมายความว่า การเป็นที่หนึ่ง
จ่ามงกุฎ เป็นชื่อขนมไทยชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกะละแมสีขาว[1] ไม่ใส่สี ทำจากแป้งข้าวเจ้าหรือแป้งข้าวเหนียวนวดผสมกับแป้งถั่วเขียว นำไปกวนกับกะทิและน้ำตาลทรายขาวจนเหนียว โรยเมล็ดถั่วลิสงคั่วซอยหรือเมล็ดแตงโมกะเทาะเปลือกเป็นไส้ในตัวขนม (สูตรโบราณจะโรยแป้งทอดตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าเมล็ดข้าวสุก ซึ่งใช้เวลาทำนานกว่า)[2] จากนั้นตัดขนมเป็นก้อนพอคำ ห่อด้วยตองกล้วยเพสลาด[3] ที่นาบไว้แล้ว
จ่ามงกุฎเป็นขนมชนิดหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงในกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานและงานนักขัตฤกษ์ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยเป็นตำรับดั้งเดิมในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี[2] อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน หลายคนนำชื่อขนมชนิดนี้ไปเรียกขนมไทยอีกชนิดซึ่งมีชื่อว่าดาราทองหรือทองเอกกระจัง[4]
เสน่ห์จันทน์
“จันทน์” เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ผลสุกมีลักษณะสวยงาม สีเหลืองปลั่ง กลิ่นหอม คนโบราณจึงนําความมีเสน่ห์ของผลจันทน์มาประยุกต์ทําเป็นขนม ที่มีส่วนผสมของแป้ง กะทิ ไข่ น้ําตาล และผงลูกจันทน์ป่น มากวนรวมกันนํามาปั้นเป็นลูกจันทน์ผลเล็ก ๆ หอมกลิ่นลูกจันทน์ป่นอ่อน ๆ หวาน หอมมันจากกะทิ และให้ชื่อว่า “ขนมเสน่ห์จันทน์”
โดยเชื่อว่าคําว่าเสน่ห์จันทน์เป็นคําที่มีสิริมงคล จะทําให้มีเสน่ห์คนรักคนหลงดังเสน่ห์ของผงจันทน์ ขนมเสน่ห์จันทน์จึงถูกมาใช้ประกอบในงานพิธีมงคลสมรส
อ้างอิงจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
| หน้าที่เข้าชม | 138,819 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 68,669 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 8 มี.ค. 2558 |
| ร้านค้าอัพเดท | 3 พ.ย. 2568 |